เจาะเศรษฐกิจไทยยุค‘โควิด’รอบ 3 –
จากการประเมินของหลายๆ ฝ่าย ไม่เพียงแต่เอกชนเท่านั้นแม้แต่หน่วยงานรัฐเองยอมรับว่า
‘โควิด-รอบ 3’ นอกจากจะคร่าชีวิตคนไทยจำนวนมากแล้ว
ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง
ชนิดที่ ‘ต้มยำกุ้ง’ เมื่อ ปี 2540 ชิดซ้ายไปเลย
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการบริโภคภายในประเทศ คนตกงาน
บริษัทปิดกิจการ ภาคการท่องเที่ยว ฯลฯ หัวปักลงเหวทั้งหมด
และยังไม่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวด้วยซ้ำ
จะมีที่พอพึ่งพิงได้คือ ‘การส่งออก’
เนื่องจากประเทศคู่ค้าของไทยเริ่มฟื้นตัว
เศรษฐกิจในประเทศเหล่านั้นกลับมาขับเคลื่อนได้มากขึ้น
แม้ยังไม่ปกติเหมือนสมัยก่อนโควิดระบาดก็ตาม
น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส
ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19
โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตาที่กลายมาเป็นสายพันธุ์หลัก ทำให้การระบาดมีแนวโน้มรุนแรง
และยืดเยื้อกว่าคาดการณ์ การระบาดเริ่มขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น ขณะที่ประสิทธิผลของวัคซีนหลายๆ
ตัวสำหรับป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตาก็อาจจะลดลง
“การประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดล่าสุด
ที่แม้จะไม่ใช่การล็อกดาวน์แบบเต็มรูปแบบเหมือนปีที่ผ่านมา
แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มถูกกระทบใกล้เคียงกับการล็อกดาวน์แบบเต็มรูปแบบทั้งประเทศ
และมีโอกาสที่จะลงลึกอย่างต่อเนื่อง”
ธปท.ประเมินความเสียหายของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากมาตรการล็อกดาวน์หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี
จะส่งผลกระทบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 0.8% แต่หากไม่สามารถควบคุมได้
จะส่งผลกระทบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจถึง 2%
ประเมินเป็น 2 กรณีคือ
1.มาตรการที่เข้มข้นควบคุมการแพร่ระบาดให้ลดลงได้ 40% จะควบคุมการแพร่ระบาดได้ในช่วงกลางเดือน
ส.ค.นี้
และ 2.หากควบคุมการแพร่ระบาดลดลงไปได้แค่ 20%
อาจส่งผลให้การแพร่ระบาดยืดเยื้อถึงสิ้นปี
และมีความเป็นไปได้ที่อาจจะต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่ยาวนานขึ้น
แม้ว่ารัฐบาลจะไม่ได้สั่ง แต่ประชาชนก็อาจจะล็อกดาวน์ตัวเอง
นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่าจากสถานการณ์โควิด-19
ส่งผลให้มีปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นในทุกประเทศ
สำหรับประเทศไทยหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงกว่าหลายประเทศ
โดยไตรมาส 1/2564 มีหนี้ครัวเรือนคิดเป็น 90.5%
ของจีดีพี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นผลจากรายได้ประชาชนหดตัว
ขณะที่ภาระหนี้เดิมที่มีอยู่เพิ่มสูงขึ้น
หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อที่อยู่อาศัย
34% สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต 28% และมีความซับซ้อนมากขึ้น
เนื่องจากมีเจ้าหนี้หลากหลาย
ส่วนภาคเอกชนโดย นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย
ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย
ปรับลดแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2564 เหลือ 1%
จากประมาณการเดิมเมื่อเดือนมิ.ย. ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 1.8%
ภายหลังการกลับมาระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดลตา ที่มีการแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
ขณะเดียวกันจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในไทยที่เร่งตัวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความคาดหวังจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
ว่าจะทำให้ไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้คงต้องผิดหวังกันไป
เป็นผลสะท้อนต่อตลาดการเงินของไทยไปสู่เงินเฟ้ออ่อนๆ
ไปถึงเงินฝืด
และกดดันให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปีต่อเนื่องถึงปัจจุบันขายไปแล้วเกือบ
9 หมื่นล้านบาท และหันมาซื้อตราสารหนี้ไทยเพิ่มขึ้น
ทำให้ธนาคารได้ประเมินค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในสิ้นปีนี้ที่ 30.50 บาท
“จากสถานการณ์โควิดนับตั้งแต่เหตุการณ์เขื่อนแตกใน
จ.สมุทรสาคร ในปลายปีที่แล้ว และต่อเนื่องมาถึงเขื่อนแตกช่วงสงกรานต์ปีนี้
จนถึงปัจจุบันเริ่มส่อแววว่าระบบสาธารณสุขของไทยเริ่มรับไม่ไหวแล้ว
เป็นภาวะค่อนข้างวิกฤตแต่เมื่อเทียบอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิดของไทยซึ่งอยู่ที่
0.8% ยังถือว่าต่ำกว่าอเมริกาซึ่งอยู่ที่ 2%”
อย่างไรก็ดีคงต้องฝากความหวังอยู่ที่วัคซีนที่มีประสิทธิภาพ
ที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญมากขึ้น ไม่เท่านั้นการเร่งจัดหา
ยาฟาวิพิราเวียร์ให้ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สำหรับใช้บำบัดโรคก็มีความสำคัญไม่แพ้กันเพื่อลดความสูญเสียและปลดล็อกแรงกดดันทางเศรษฐกิจ
ตลอดจนลดอัตราการฆ่าตัวตายลงด้วย
ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจที่ย่ำแย่นี่เองทำให้ นายสนั่น
อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ‘40 CEOs พลัส’ หารือแนวทางแก้ปัญหากับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ภาคเอกชนเสนอแนวทางและความคิดเห็น 4 ประเด็น
1.การควบคุมการแพร่ระบาด
ด้วยการจัดสรรและกระจายวัคซีนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
โดยศูนย์ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล ทั้ง 25 ศูนย์ ของภาคเอกชนร่วมกับ กทม.
มีความสามารถที่จะเสริมการฉีดและรองรับการกระจายวัคซีนได้ทุกกลุ่มอายุ
โดยสามารถแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลได้
การจัดยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ และมาตรการ Isolation
จัดให้มี Rapid Tests อย่างทั่วถึง
สนับสนุนให้เอกชนจัดสถานที่ Isolation จัดให้มียารักษาอย่างพอเพียง
เพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วยหนักและไอซียู โดยเฉพาะในเขตสีแดงและแดงเข้ม
2.การเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชน
ด้วยการขยายมาตรการที่เคยดำเนินการไว้ก่อนหน้านี้
ในกรณีที่นายจ้างต้องหยุดประกอบกิจการตามคำสั่งของราชการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เกินกว่า 90 วัน ให้ได้รับการช่วยเหลือ
เร่งรัดออกมาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าว
ในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เร่งรัดการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
ให้กับแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวในประเทศ
3.การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการกระตุ้นผู้มีรายได้
และผู้มีกำลังซื้อสูง นำมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” กลับมาอีกครั้ง
โดยเพิ่มวงเงินไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท
ซึ่งจะสามารถกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบได้ไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาทภายใน 1
ไตรมาส
4.การฟื้นฟูประเทศไทย ตั้งคณะกรรมการร่วมรัฐเอกชน
เพื่อแสวงหาโอกาสที่เกิดขึ้นในสถานการณ์โควิด เช่น เกษตรสมัยใหม่
ท่องเที่ยวคุณภาพสูง การศึกษายุคใหม่ และ Food for future เป็นต้น
ขณะที่ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ระบุว่าเป็นห่วงผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)
ที่กำลังเผชิญปัญหาในขณะนี้ เป็นอย่างมาก
โดยเสนอแนวทางต่อภาครัฐไปแล้วหลายอย่างโดยเฉพาะด้านการเงิน
ดังนั้นจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเอสเอ็มอีเพิ่มเติม
4 แนวทาง
1.ให้พิจารณาเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันความเสียหายผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)
เพิ่มขึ้นเป็น 60%
เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาในช่วงนี้ได้มากขึ้น
2.พิจารณาให้ผู้ประกอบการที่เป็นลูกหนี้สถาบันการเงินที่
เข้าเกณฑ์สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ที่เกิดขึ้นในช่วงโควิดจนถึง
3 ปี นับจากสิ้นสุดช่วงโควิด ไม่มีประวัติข้อมูลที่
บ่งบอกถึงประวัติการชำระหนี้หรือสินเชื่อในบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด
(เครดิต บูโร)
3.ขอให้พิจารณาผ่อนคลายเงื่อนไขการปล่อยกู้ตามประกาศ
ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เขียนไว้ว่า “ให้สภาพคล่องแก่
ผู้ประกอบการที่ยังพอมีศักยภาพ” โดยให้เป็นดุลพินิจของสถาบันการเงิน
4.ให้ความช่วยเหลือในเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนด้านสาธารณสุข
โดยการจัดหาชุดตรวจทดสอบหาเชื้อโควิด-19 ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ทั้งวิกฤตในแง่ต่างๆ ที่ยังรุมเร้าและการแก้ปัญหาที่เสนอโดยเอกชน รัฐบาลจะมีแผนรับมือหรือรับฟังขนาดไหน ต้องตามดูกันต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
www.khaosod.co.th